29 กุมภาพันธ์ 2551

หลักการใช้ Infinitives without to มีดังนี้

1. หลัง Verbs ช่วยต่อไปนี้ can, could, may, might do, must, will, shall ใช้ verb ช่องที่ 1 เช่น
We can travel by train., He may decide to go with her.
2. หลัง Verbs ที่เกี่ยวกับความรู้สึก เช่น hear, see, feel, notice, smell, let และ make เช่น
We heard her laugh softly to herself., I will let you see it later.
3. หลัง Verbs ต่อไปนี้ had better, would rather, had sooner, cannot but ตามด้วย verb ช่องที่ 1 เช่น
I think you had better tell me the truth., I cannot but admire your courage.

Gerund คือ รูปของ Verb + ing แต่ทำหน้าที่เป็น Nouns บางครั้ง Gerund จะถูกเรียกว่า “กริยานาม” นั่นเอง

Non – Finites Verb คืออะไร ใช้อย่างไร จะใช้เป็นไหม

Non – Finites คือ คำที่มีรูปเหมือนหรือคล้าย Verbs แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ Verbs แต่จะทำหน้าที่อื่น เช่น Nouns, Adjectives และ Adverbs Non – finite มี 3 ชนิดดังนี้
1. Infinitive คือ รูป Verbs ช่องที่ 1 แบ่งได้ 2 รูป ดังนี้
- Infinitives with to คือ รูป to + verb ช่องที่ 1 เช่น to run, to play, to read, to go, to see, to understand
- Infinitives without to คือ รูป verb ช่องที่ 1 เช่น hit , run, walk, eat, see, forget
Infinitives ถูกใช้ในหน้าที่ต่อไปนี้
1. เป็น Nouns ในตำแหน่ง Subjects และ Objects ของประโยค เช่น
To understand English is easy., He likes to play football,
2. เป็น Adjectives เพื่อขยาย Nouns ในประโยค เช่น
I have a time to play Ping-pong., She felt her heart beat faster.
3. เป็น Adverbs เพื่อขยาย Verbs, Adjectives และ Adverbs ในประโยค เช่น
I came to see my old friends., I am sorry to hear a sad news.
หลักการใช้ Infinitives with to มีดังนี้
1. หลัง Verbs ช่วยต่อไปนี้ ought, used, have, need ตามด้วย to + verbs ช่องที่ 1 เช่น
I used to stay in Thailand ., You ought to see the dentist.
2. หลัง Verbs ส่วนใหญ่ เช่น agree, after, intend, promise, expect, remember, pretend, forget, refuse, decide, learn จะใช้ to + verb ช่องที่ 1 เช่น
He promised to take me to the cinema tonight.
Please remember to bring the tickets with you.
3. ใช้กับ verb to be และ have ใช้กรณีที่เป็นคำสั่ง หรือคำบังคับ เช่น
You are to report to the headmaster at once.
I have to finish the work by noon today.

Questions มีกรอบแค่ใหน

นักเรียน เรื่อง คำถามที่มี ในโลก ภาษาอังกฤษ มีประมาณนี้ Questions

Questions คือ รูปประโยคภาษาอังกฤษ แบ่งได้ 3 แบบใหญ่ ดังนี้
1. W – H Questions คือ ประโยคคำถามที่ขึ้นด้วย “W” ได้แก่ What, Where, When, Which, Why, Who, Whom, Whose etc และ “H” ได้แก่
How, How many
How much
How old etc.
2. Yes-No Questions คือ ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย ( Helping Verbs ) ได้แก่ V. to be , V. to do, shall, will, can etc. และสามารถตอบได้ด้วย
3. Tag Questions คือ ประโยคคำถามที่ใช้ส่วนหางเป็นคำถาม การตอบคำถามของ Tag Questions นี้ จะตอบด้วย “Yes” และ “no” เช่นเดียวกับ Yes-no Questions
ให้ถาม

Last lecture อยากสอนอะไรในเล็คเชอร์สุดท้าย (ก่อนเสียชีวิต)

ศ. แรนดี้ เพาช์ ศาตราจารย์ด้าน Computer Science บรรยายที่มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon สหรัฐอเมริกา หลังจากที่ทราบว่าเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย

song

http://www.youtube.com/watch?v=7vY1peG8gHQ

Examination:pre-test,post-test แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน

นักเรียนช่วงชั้นที่ 3 ทุกคนต้องใส่รหัสเพื่อเปิดข้อสอบแต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกันและcrop คะแนนที่ได้ส่งทาง e-mail แล้ว printมาส่งด้วยครับ ที่อยู่ข้อสอบ คลิกที่นี่สำหรับโหลด

Manager Online - ต่างประเทศ

Read,please. อ่าน รบกวน กรอกแสดงความคิดเห็น หลังได้รูปภาพ งาน การบ้าน

  • เพราะเมื่อท่านได้รับข้อมูลจะลบครับ
  • วิธีการ แสดงความเห็นครับ
  • 1.คลิก แสดงความเห็น
  • 2.พบกรอบ กรอกข้อความที่ต้องการ
  • 3.คลิก ชื่อเล่น แต่กรุณาใสชื่อจริงครับ นามสกุลไส่หรือไม่ก็ได้
  • 5.คลิก เผยแพร่บทความ
  • 4.รอขีด แสดงจนแล้วเสร็จ ครับ

ปรัชญาการวิจัย

คเวสนา ปรมา วิชชา
การวิจัยนำมาซึ่งยอดแห่งความรู้
RESEARCH LEADS TO SUMMIT OF KNOWLEDGE
การวิจัยตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า Research เกิดจากคำ 2 คำมารวมกัน คือคำว่า RE+SEARCH จากรากศัพท์เดิมว่า การค้นหาซ้ำแล้วซ้ำอีกให้เกิดความมั่นใจ นอกจากนี้นักจิตวิทยาด้านการวิจัย ออกแบบแนวคิดอธิบายค่า “Research” โดยแยกเป็นอักษรที่มาจากความหมายจากที่ประชุม Pan Pacific Socience Congress ในปี ค.ศ. 1961 ณ. สหรัฐอเมริกา ได้แยกอธิบายความหมายไว้ดังนี้
R = ecruitment & Relationship หมายถึง การฝึกตนให้มีความรู้ รวมทั้งรวบรวมผู้ที่มีความรู้เพื่อปฏิบัติงานรวมกัน ติดต่อสัมพันธ์และประสานงานกัน
E = Education & Efficency หมายถึง ผู้วิจัยจะต้องมีการศึกษา มีความรู้และสมรรถภาพสูงในการวิจัย
S = Sciences & Stimulation หมายถึง เป็นศาสตร์ที่ต้องมีการพิสูจน์ค้นคว้า เพื่อหาความจริง และผู้วิจัยต้องมีความกระตุ้นในด้านความคิดริเริ่ม กระตือรือร้นที่จะทำวิจัย
E = Evaluation & Enviroment หมายถึง รู้จักประเมินผลว่ามีประโยชน์สมควรจะทำต่อไปหรือไม่ และต้องรู้จักใช้เครื่องมือต่างๆในการวิจัย
A = Aim & Attitude หมายถึง มีจุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายที่แน่นอน และมีทัศนคติที่ดีต่อการติดตามผลการวิจัย
R = Result หมายถึง ผลการวิจัยที่ได้มาเป็นผลอย่างไรก็ตามจะต้องยอมรับผลการวิจัยนั้นอย่างดุษฎี และเป็นผลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบ
C = Curiosity หมายถึง ผู้วิจัยจะต้องมีความรู้อยากรู้อยากเห็น มีความสนใจและขวนขวายในการวิจัยอยู่ตลอดเวลา
H = Horizon หมายถึงว่า เมื่อผลการวิจัยปรากฏออกมาแล้วย่อมทำให้ทราบและเข้าใจในปัญหาเหล่านั้นได้เหมือนกับการเกิดแสงสว่างขึ้น แต่ถ้ายังไม่เกิดแสงสว่าง ผู้วิจัยจะต้องดำเนินต่อไป จนกว่าจะพบแสงสว่าง ในทางสังคมแสงสว่างหมายถึง ผลการวิจัยก่อให้เกิดสุขแก่สังคม (อารมณ์ สนานภู่ : 2545.)